เจ้าของร้านให้ข้าวคนเร่ร่อนกินทุกวัน หลายปีผ่านไปความจริงก็ปรากฏ

เจ้าของร้านให้ข้าวคนเร่ร่อนกินทุกวัน หลายปีผ่านไปความจริงก็ปรากฏ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ได้รับฟอเวิร์ดเมล์ต่อๆกันแต่ฟังแล้วชุ่มชื่นหัวใจและรู้สึกสังคมน่าอยู่น่าอยู่ขึ้นมีกำลังในการใช้ชีวิตจึงนำมาฝากให้ได้อ่านกันค่ะ

พ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งได้เล่าว่า เขาเริ่มทำธุรกิจเปิดร้านขายข้าวแกง ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆแหล่งสถานที่ทำงาน ทำให้อาหารของเค้าขายดิบขายดีมีคนแวะเวียนมากินไม่ขาดสายทุกวัน

วันหนึ่งมีชายเร่ร่อนวัยกลางคนผมเผ้ารุงรังเสื้อผ้าเก่าขาดเดินกระย่องกระแย่งมาหยุดที่หน้าร้าน ลูกค้าบางส่วนที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ก็มองชายผู้นั้นด้วยท่าทางรังเกียจไม่อยากให้เข้ามาในร้าน แต่ผมเองก็ไม่ได้ไล่ให้เขาไปแต่ไกล

เมื่อลูกค้าในร้านกลับหมดแล้ว ผมก็ทำการห่อข้าวให้แกหนึ่งกล่อง ซึ่งข้าวที่ผมห่อให้นั้นก็เป็นอาหารที่ผมขายไม่หมดผมห่ออะไรให้แกกิน แกก็กินอย่างนั้น คิดเสียว่ายังไงอาหารที่ขายไม่หมดก็ต้องทิ้งอยู่แล้วแบ่งแกกินไม่ดีกว่าหรือ

ชายเร่ร่อนผู้นี้มักจะเดินเตร็ดเตร่อยู่ในละแวกร้านของผมอยู่เป็นประจำและเมื่อถึงเวลากินข้าวแกก็จะมานั่งรอที่เดิมทุกวันเวลาเดิม ผมก็จะห่อข้าวให้แกกินเป็นประจำไม่ขาดจนกลายเป็นความเคยชินของผมไปแล้ว วันไหนแกไม่มาผมก็จะรู้สึกแปลกๆมองหาและเป็นห่วงแกเสียแล้ว

หลายปีผ่านไป อยู่ดีๆแกก็หายไปไม่กลับมารอข้าวหน้าร้านผมอีกเลย ผมก็ได้แต่สงสัยว่าแกหายไปไหนตัวผมเองไม่รู้ว่าแกนอนที่ไหนเป็นหลักแหล่งถามใครละแวกนั้นก็ไม่มีใครรู้

เวลาผ่านไปสองปีเศษ…

เช้าวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเปิดร้านได้มีรถหรูป้ายแดงคันหนึ่งมาจอดเทียบฟุตบาทอยู่หน้าร้าน ผมก็ไม่ได้เอะใจเอะใจอะไรเพราะเป็นเรื่องปกติที่จะมีรถมาสัญจรไปมาจอดหน้าร้านอยู่เป็นประจำ แต่แล้วชายสองคนลงเดินลงมาจากรถแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าร้านผมขณะที่ผมกำลังเตรียมเปิดร้านอยู่

ผมมองหน้าแล้วไม่รู้จักได้แต่บอกเขาว่าร้านยังไม่เปิด คนหนุ่มอายุราวๆ 30 กว่าปี เดินเข้ามาถามผมว่า “เฮียเจ้าของร้านใช่ไหมครับ” ผมพยักหน้าแบบงงๆ ชายหนุ่มตอบกลับมาพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าผม ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกจึงรีบถามเขา “ทำไมทำแบบนี้ครับ”

ชายหนุ่มยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ยอมลุกและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟัง ที่จริงแล้วเขาคือลูกชายของชายเร่รอนคนนั้นที่ผมเคยห่อข้าวให้กินเป็นประจำ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วพ่อของเขาป่วยจึงเตลิดออกจากบ้านมา ชายหนุ่มตามหามาตลอดแต่ก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของพ่อเลย

แต่แล้ววันหนึ่งพ่อของเขาจู่ๆก็เดินกลับมาบ้านเองสร้างความดีใจให้ชายหนุ่มและคนในบ้านเป็นอย่างมาก เขารีบพาพ่อไปรักษาเป็นเวลานานถึงสองปีพ่อก็หายเป็นปกติ เมื่อสติสัมปชัญญะของพ่อกลับมาสิ่งแรกที่บอกผมก็คือ “ขอให้ผมพาท่านมาขอบคุณผู้มีพระคุณ และผู้มีพระคุณคนนั้นก็คือเถ้าแก่ครับ”

เมื่อชายหนุ่มเล่าจบทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนที่มาด้วยกันกับเขาคือชายเร่ร่อนคนนั้นนั้นเอง พ่อของเขาแตกต่างจากชายเร่ร่อนคนนั้นที่มารอห่อข้าวของผมทุกๆเย็นโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มยังเล่าต่อว่าเขาเป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

ก็เลยปรึกษากับคุณพ่อซื้อรถคันนี้ที่ขับมายกให้เป็นของขวัญแทนการขอบคุณที่ผมเคยช่วยเหลือดูแลพ่อเขาไว้ ถ้าผมไม่มีน้ำใจช่วยเหลือ พ่อของเขาคงอ ด ต า ย แ ล ะ ไ ม่ ร อ ดจนถึงทุกวันนี้ ผมได้ยินดังนั้นก็รีบปฏิเสธทันที พ่อของเขาเลยรีบสวนกลับมาว่าถ้าผมไม่ยอมรับจะนั่งคุกเข่าตรงนี้ไม่ไปไหน

ผมจึงต้องยอมรับน้ำใจจากเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่นั้นมาในทุกๆปีสองพ่อลูกก็จะมักแวะเวียนมาที่ร้านมากินข้าวพูดคุยเหมือนญาติสนิทกัน พ่อของชายหนุ่มมักจะพูดเสมอว่าถ้าเถ้าแก่ไม่ให้ข้าวให้น้ำกินในวันนั้นผมก็คงจะไม่รอดและต า ย อ น า จอย่างหมาข้างถนนไปแล้ว กับข้าวที่ร้านเถ้าแก่จะเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต…

*รูปภาพทั้งหมดที่ปรากฏเป็นเพียงรูปภาพประกอบบทความเท่านั้น

Facebook Comments

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *