มนุษย์เงินเดือนตกงาน พลิกชีวิตด้วยการเช่าที่ 1 งาน ทำเกษตร ทำเงินได้หลักพันต่อวัน
เรื่องราวของ คุณ อารีย์ เพ็งสุทธิ์ จากที่เคยเป็นพนักงานประจำ หนึ่งในมนุษย์เงินเดือนที่โดนแจ๊คพอต เลิกจ้าง ด้วยเศรษฐกิจขาลง ทำให้หลายๆบริษัทต้องลดรายจ่าย เช่นการ ลดจำนวนพนักงานลง แต่ คุณ อารีย์ ก็ไม่ได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตา หันหน้ามาเดินงานเกษตรอย่างเต็มที่ เรามีดูกันดีกว่าว่า เธอมีแนวคิดและวิธีในการทำงานอย่างไร ให้ประสบผลสำเร็จ
คุณ อารีย์ เริ่มต้นอาชีพเกษตรหลังจากต้องออกจากงาน ด้วยการเพาะเห็ด เพราะเห็นว่ายังพอมีโอกาสทางการตลาดอยู่บ้าง แนวโน้มการต้องการเห็ดนั้นยังพอมีช่องทางให้ไปต่อได้
พอเริ่มลงมือเพาะเองแบบเล็กๆน้อยๆ เก็บเกี่ยวหาประสบการไปเรื่อยๆ จึงมีวิชาความรู้ติดตัวคือ “การเพาะเห็ด” คุณ อารีย์ จึงเริ่มดำเนินการขั้นต่อไปคือการหาเช่าที่ดิน เพื่อสร้างโรงเรือนเพาะเห็ด
คุณ อารีย์ เจอที่ดิน 100 ตารางวา อยู่ในซอยคู้บอน 27 แยก 8 ซึ่งที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินเปล่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไร แต่เห็นว่าทำเลดีอยู่ใกล้บ้าน น่าจะสะดวกในการเดินทาง จึงทำสัญญาไว้ 2 ปี ค่าเช่า 3000 บาท/เดือน และ ดำเนินการขอ น้ำ-ไฟ เดินสายเข้ามาในที่ดิน แล้วก็ทำการสร้างโรงเพาะเห็ดขนาด 4×6 เมตร จำนวน 2 โรง
ลงก้อนเห็ดนางฟ้าภูฎาน 2,000 ก้อน ไม่นานหลังจากนั้น เห็ดล๊อตแรกที่ลงไว้ก็เริ่มออกดอกออกผมให้เก็บเกี่ยว โดยล๊อตแรกเก็บได้ประมาณ 80 กิโลกรัม ขายได้กิโลกรัมละ 120 บาท รวมแล้วล๊อตแรกทำเงินได้ 9600 บาท
แต่ว่าโรงเพาะเห็ด 2 โรงนั้น กินพื้นที่ไม่ถึงครึ่งของที่ดินที่เช่าไว้ คุณ อารีย์ เลยได้ลงมือปลูกอย่างอื่นเพิ่ม เพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดินส่วนที่เหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
คุณ อารีย์ เริ่มลงมือปลูกพืชผักสวนครัว โดยใช้แนวคิดที่ว่า “ปลูกไว้กิน เหลือค่อยขาย” ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อกับข้าวในแต่ละมื้อไปได้เยอะเลยทีเดียว พืชที่ปลูกนั้นส่วนใหญ่เป็นพืชผักสวนครัวที่ขายได้คาราดี มีความต้องการของตลาดตลอดเวลา เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือ ชะอม ต้นหอม พริก เป็นต้น เพราะปลูกกินเอง คุณ อารีย์ จึงเน้นว่าไม่ใช้สารเคมีและยากำจัดแมลง
แต่ก่อนจะปลูกพืชพวกนี้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการปรับหน้าดินก่อน คุณ อารีย์ ได้นำปุ๋ยขี้วัวมาลง แล้วก็ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวะภาพ เพื่อเร่งปฎิกิริยาให้ปุ๋ย ถึงตอนนี้ดินก็ดีพร้อมสำหรับทำการเพาะปลูกแล้ว
ในช่วงเริ่มต้นนี้อาจจะยังไม่มีรายได้ เพราะกว่าพืชผักที่ปลูกไว้จะเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง จึงทำให้ระหว่างนี้ คุณ อารีย์ ต้องหารายได้เสริมมาทดแทนในช่วงเริ่มต้น จากการเพาะพืชที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆในการเจริญเติบโต เช่น ถั่วงอก ต้นอ่อนทานตะวัน ต้นอ่อนผักบุ้ง ซึ่งเป็นพืชที่ใช้เวลาในการเพาะไม่เกิน 7 วัน ก็สามารถขายได้แล้ว
จุดเริ่มต้นจากศูนย์ เริ่มต้นจากการไม่มีที่ดิน สู่การเช่าที่ดิน 1 งาน ทำโรงเพาะเห็ด และ แปลงเกษตรแบบง่ายๆ ใช้เวลาไม่กี่เดือนจนพัฒนาก่อตั้งสวนเกษตรของตนเองในชื่อ “เฮย์เดย์ ฟาร์ม” โดยอาศัยกลุ่มลูกค้าหลักคือ กลุ่มเพื่อนที่ทำงานออฟฟิศที่รู้จักกัน และด้วยความที่เป็นพืชผักปลอดสารพิษ จึงทำให้กลุ่มพนักงานออฟฟิศที่รักสุขภาพสนใจเป็นพิเศษ มีบริการส่งผักถึงที่ ผักสด มีคุณภาพ รักษามาตรฐานตรงนี้เอาไว้ให้ได้ ถ้าของเราดีลูกค้าก็จะบอกต่อ ปากต่อปาก เป็นการโปรโมทให้เราไปอีกที ถือว่าเป็นไอเดียการทำการตลาดที่ยอดเยี่ยมมาก
สำหรับผักที่ส่งขายนั้น พวกเห็ด และ ต้นอ่อนต่างๆ จะส่งให้พนักงานออฟฟิศในตัวเมือง ส่วนแตงกวา ถั่วฝักยาว และ ผักสวนครัวอื่นๆ จะไปส่งตามร้านค้า ร้านอาหารตามสั่ง ร้านส้มตำ แถวบ้าน มีลูกค้าตั้งแต่ร้านค้ารถเข็น ไปจนถึงร้านที่อยู่ในตึกแถว และ ร้านอาหารใหญ่ๆ แรกๆที่ไปขายก็ไม่มีคนรู้จักเรา ไม่ค่อยมีคนซื้อหรอก แต่เขาเห็นว่าผักเราดูสดใหม่น่าทานเขาก็ค่อยๆหันมาซื้อกับเรามากขึ้น
สุดท้ายนี้อยากฝากไปยัง มนุษย์เงินเดือนหลายๆคนที่อาจต้องมาเจอเหตุการณ์เดียวกันนี้ว่า บางครั้งสิ่งที่ไม่คาดคิดก็มักจะเกิดขึ้นกับเราได้ เช่นการถูกปลดออกจากงาน การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่ใช่เป็นอาชีพที่มั่นคงที่สุดในชีวิตเสมอไป เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาแบบนี้ด้วย ยิ่งด้วยเศรษฐกิจแบบนี้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
ข่าวล่าสุด คุณ อารีย์ ได้งานประจำใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้ง เฮย์เดย์ฟาร์ม โดยใช้เวลาช่วงเย็นหลังเลิกงาน และ วันหยุด แวะเวียนมาดูแลแปลงเกษตรอยู่เป็นประจำ ทำให้มีทั้งรายได้จากงานหลัก และ รายได้เสริมจากการทำเกษตร เรื่องราวของ คุณ อารีย์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนคนสู้ชีวิตที่น่ายกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดี
ทำเกษตรหลังตกงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณเอีย-อารีย์ เพ็งสุทธิ์ , เส้นทางเศรษฐี